ชื่อร้านค้า พระเครื่องภูธนรินทร ฯ พระเครื่องสะท้านแผ่นดิน

พระสมเด็จวัดพระแก้ววังหน้า (ของดีที่ถูกลืม) ชุดเดียวในโลกประเทศไทย ครับ

เชื่อได้ว่าหลายท่านที่เคยผ่านไปแถว ๆ บริเวณย่านใต้สะพานพระปิ่นเกล้า แถว ๆ สถาบันบัณฑิตพัฒน์ศิลป์ หรือ วิทยาลัยนาฏศิลป์เดิม หลาย ๆ คนคงสงสัยว่า สิ่งก่อสร้างทรงไทย คล้ายโบสถ์ใหญ่โตที่ตั้งอยู่กลางวิทยาลัยนั่นคืออะไร

จะว่าเป็นตึกฉากสำหรับการละคร ก็ดูจะยิ่งใหญ่อลังการณ์เกินไปนัก จะว่าเป็นวัด เป็นโบสถ์เป็นวิหาร ก็ไม่ยักกะเห็นพระแม้นแต่สักองค์ แถมยังมาตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางตึกสมัยใหญ่น้อยใหญ่ของวิทยาลัยนาฏศิลป์เสียอีก

ซึ่งสิ่งที่เขียนไปข้างต้นก็ไม่ได้มาจากความคิดของใคร เป็นความคิดของผู้เขียนนี่เอง ด้วยว่าเห็นมาแต่เด็กจนโต สอบถามเอากลับใคร ๆ ก็ไม่ยักกะมีคำตอบที่เหมาะสม หรือสมควร ยามเมื่อได้เติบใหญ่ ก็เก็บเกี่ยวเอาความสงสัยนี้ไว้กับตัว

ไอ้ครั้นจะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปดูเข้าไปถาม สถานที่แห่งนี้ก็จัดเป็นสถานที่ราชการที่มียามรักษาการณ์เฝ้าซะดูแข็งขัน ทำให้ยังหาเหตุแห่งการเข้าชมดี ๆ ไม่ได้สักครั้งเดียว จวบจนวันนี้ วันที่นั่งรถผ่านเพื่อเดินทางไปชมพระเมรุของสมเด็จ ภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ และเหลือบไปเห็นป้ายเชิญชวนให้เข้าชมนิทรรศการ

จำไม่ได้แล้วว่าเป็นนิทรรศการใด แต่ด้วยความที่ก็ไม่ได้อยากดูนิทรรศการที่ว่า แต่มีเจตนาแอบแฝงอยากเข้าไปดู ไปชมอาคารทรงไทยหลังใหญ่แห่งนั้น จึงชักชวนกันสวมรอยประหนึ่งว่าจะไปชมนิทรรศกาล ตอนสี่โมงเย็น

จากการเดินชม การพูดคุยแลกเปลียน และการหาข้อมูลภายหลังจากที่ได้กลับมาจากการเยี่ยมชมแล้วจึงทำให้รู้ว่า "อาคารปูนทรงไทยหลังใหญ่กลางวิทยาลัยนาฏศิลป์แห่งนั้น" หาใช่อื่นใด แท้จริงแล้วก็คือ "วัด" แต่ที่ไม่มีพระสงฆ์องคเจ้าอยู่โยงเฝ้าวัด นั่นก็เพราะวัดแห่งนี้ จัดเป็น "วัดในพระบรมมหาราชวัง" จึงไม่มีพระจำวัด

 

วัดแห่งนี้ก็คือ "วัดบวรสถานสุทธาวาส" หรือ "วัดพระแก้ววังหน้า" ที่ดูเหมือนจะถูกกลืนกินด้วยหน้าต่างแห่งกาลเวลา ทำให้ผู้คนต่างหลงลืมไปเสียจนเกือบหมดแล้ว เพราะไม่ค่อยมีคนสนใจ หรือรู้จักวัดแห่งนี้มากนัก

โดยทั่วไปแล้ว เรามักจะคิดว่า "วัดที่อยู่ในวัง" มีเพียง "วัดพระศรีรัตนศาสดาราม" ในพระบรมมหาราชวังเท่านั้น ส่วนวัดในวังหน้ากลับไม่ค่อยมีคนจะสนใจใคร่รู้ เพราะโดยสภาพแล้ว "วังหน้า" เองก็แทบจะไม่เหลือสภาพวังไว้ให้รู้จักกันสักเท่าไหร่แล้วในปัจจุบัน

อีกทั้ง วัดพระแก้ววังหน้าหรือวัดบวรสถานสุทธาวาส ในปัจจุบันนั้น แทบจะมิได้ใช้ประโยชน์ในศาสนพิธีใด ๆ และวัดทั้งวัด ก็เหลือเพียงพระอุโบสถเพียงหลังเดียวนี้เท่านั้น อีกทั้งภูมิทัศน์ยังถูกล้อมรอบด้วยตึกของวิทยาลัยนาฏศิลป์เสียอีกด้วย จึงทำให้หมดความน่าสนใจลงไปทุกที

แท้จริงแล้ว วัดพระแก้ววังหน้าหรือวัดบวรสถานสุทธาวาส แห่งนี้ มีความน่าสนใจทั้งในด้านสถาปัตย์กรรมและ ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง จากพระราชนิพนธ์เรื่อง "ตำนานวังหน้า" ของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้กล่าวถึง วังหน้า แห่งนี้ไว้ว่า แต่เดิมเรียกกัน อย่างเป็นทางการว่า "พระราชวังบวรสถานมงคล" แต่ชาวบ้านหรือคนทั่วไป มักเรียกกันว่า "วังหน้า" เพราะเป็นวังที่ประทับ ของ พระมหาอุปราชซึ่งเรียกกันว่า "ฝ่ายหน้า" เลยเรียกที่ประทับของพระมหาอุปราชว่า วังฝ่ายหน้าและวังหน้า

วังหน้า หรือพระราชวังบวรสถานมงคล ของกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เริ่มสร้างขึ้นพร้อมกับพระราชวังหลวง หรือพระบรมมหาราชวัง เมื่อปีขาล พ.ศ.๒๓๒๕ โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเลือกเอาที่สองแปลง ของ กรุงเทพฯคือแปลงหนึ่งอยู่ระหว่างวัดโพธิ์กับวัดสลัก (วัดมหาธาตุฯ)เป็นที่สร้างวังหลวง

ส่วนที่อีกแปลงหนึ่งอยู่เหนือวัดสลักขึ้นไป จนถึงปากคลองคูเมืองด้านเหนือ (บริเวณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พิพิธภุณฑ์สถานแห่งชาติ วิทยาลัยนาฏศิลป์ วิทยาลัยช่างศิลป และโรงละครแห่งชาติ) เป็นที่สร้างพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า เพื่อให้เป็น ที่ประทับของพระอนุชาธิราชคือ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ซึ่งเป็นพระมหาอุปราช

พระราชวังหน้านี้เมื่อแรกสร้างก็เป็นเพียงเครื่องไม้มุงหลังคาจาก เพื่อให้ทันพิธีปราบดาภิเษก ซึ่งต่อมาภายหลังจึงได้ทำการปลูกสร้างอาคารถาวรวัตถุต่าง ๆ ขึ้นมา โดยเริ่มจากการสร้างปราสาทกลางสระ เหมือนอย่างพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่เกิดเหตุขบภอ้ายบัณฑิตสองคนเสียก่อนเลยไม่ได้สร้าง ต่อมาได้มีการสร้างพระราชมณเทียรเป็นที่ประทับ และสร้างพระวิมานสามหลังเรียงกันตามแบบอย่างของ กรุงศรีอยุธยาขึ้นแทน

ใน ร.ศ.๒๓๓๐ ได้มีการก่อสร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ (หรือพระที่นั่งพุทไธศวรรย์) หรือ หอพระวังหน้าขึ้น เพื่อประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งอัญเชิญมาจากเชียงใหม่ โดยให้มีการเขียนจิตรกรรมฝาผนังรูปเทพชุมนุม และเรื่องปฐมสมโพธิเป็นพุทธบูชา

สถานที่ต่าง ๆ ในพระราชวังบวรหรือวังหน้า นอกจากจะมีพระราชมณเฑียรแล้ว คงมีสิ่งอื่นเช่นเดียวกับวังหลวง คือ โรงช้าง โรงม้า ศาลาลูกขุน คลังเป็นต้น แต่เดิมนั้นบริเวณวังหน้ากว้างขวางมาก เฉพาะด้านทิศตะวันออกไปจดถนนราชดำเนิน ด้านเหนือจดคลองคูเมือง ด้านตะวันตกจดแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านใต้จดวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์

กล่าวกันว่าสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ในวังหน้าในอดีตทำอย่างปราณีตบรรจง เพราะกรมพระราชวังบวรฯ ตั้งพระราชหฤทัยว่าถ้าได้ครอบครองราชสมบัติ จะประทับอยู่ที่วังหน้าตามแบบพระเจ้าบรมโกศไม่ไปประทับวังหลวง

อย่างไรก็ตามสิ่งก่อสร้างที่สร้างในครั้งรัชกาลที่ ๑ หรือ สมัยกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทนั้น สร้างด้วยไม้จึงหักพังและรื้อถอนสร้างใหม่เสียเป็นส่วนมาก จนไม่เห็นเค้าโครงเดิมในปัจจุบัน นอกจากพระที่นั่งสุทธาสวรรย์หรือพระที่นั่งพุทไธศวรรย์เท่านั้น ที่ยังคงฝีมือสมัยรัชกาลที่ ๑ อยู่จนทุกวันนี้

เมื่อขึ้นรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา สมเด็จพระอนุชาธิราช พระบัณฑูรย์น้อยเจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์เป็น พระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลไปประทับที่วังหน้า หลังจากวังหน้าว่างอยู่ ๗ ปี นับแต่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลมหาสุรสิงหนาทสวรรคต

เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์เสด็จไปประทับวังหน้า พระองค์ก็มิได้สร้างอะไรเพิ่มเติมมากนัก เพียงแต่แก้ไขซ่อมแซมของเก่าบางอย่าง นอกเสียจากบริเวณวังหน้าชั้นนอกด้านทิศเหนือตรงที่ตั้ง "วัดบวรสถานสุทธาวาส" หรือ "วัดพระแก้ว" นี้ เดิมทีมีวัดเก่าอยู่วัดหนึ่งชื่อ"วัดหลวงชี" ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทที่ทรงพระราชอุทิศให้เป็นบริเวณที่หลวงชีจำศีลภาวนา เพราะเหตุพระมารดาของนักองค์อี ธิดาสมเด็จพระอุไทยราชา พระเจ้ากรุงกัมพูชาซึ่งเป็นพระสนมเอก ชื่อ นักนางแม้น บวชเป็นรูปชี เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ จึงโปรดให้มาอยู่ในพระราชวังบวรฯกับพวกหลวงชีที่เป็นบริษัทที่ตรงนั้นจึงเลยเรียกกันว่า "วัดหลวงชี"

ต่อมาเมื่อไม่มีหลวงชีอยู่แล้ว กุฏิต่าง ๆ จึงชำรุดทรุดโทรมเป็นจำนวนมาก จึงโปรดฯ ให้รื้อกุฏิหลวงชีเสียหมดทำเป็นสวนเลี้ยงกระต่าย กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ดำรงพระยศพระมหาอุปราชอยู่ ๘ ปี ก็เสด็จ สวรรคตที่พระที่นั่ง วายุสถานอมเรศร์ ในวังหน้า เมื่อปี พ.ศ.๒๓๖๐

ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ วังหน้าว่างมาอีก ๗ ปี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงสถาปนา กรมหมื่นศักดิ์พลเสพย์เป็นกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์ ได้ทรงปรับปรุงซ่อมแซม สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ขึ้นใหม่หลายอย่าง ที่สำคัญคือทรงซ่อม พระที่นั่งสุทธาสวรรย์แลัวเปลี่ยนนามเรียก "พระที่นั่งพุทไธศวรรย์" มาจนทุกวันนี้

นอกจากนี้กรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์ ได้ทรงสร้างวัดบวรสถานสุทธาวาส หรือ เรียกว่า "วัดพระแก้ววังหน้า" ในวังให้เหมือนกับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระราชวังหลวง โดยทรงอุทิศสวนกระต่ายเดิมสร้างวัดถวายเป็นพุทธบูชา เหตุที่สร้างวัดบวรสถานสุทธาวาส กล่าวกันไว้หลายอย่าง

อย่างหนึ่งว่าทรงสร้างแก้บนครั้งเสด็จ ยกกองทัพไปปราบขบถที่เวียงจันทร์ หรืออีกอย่างหนึ่งเล่าว่าแต่เดิมทรงสร้างยอดปราสาท จนปรุงตัวไม้แล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบมีรับสั่งให้ไปห้ามว่า ในพระราชวังบวรไม่มีธรรมเนียมจะมีปราสาทเป็นเหตุให้กรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์น้อยพระทัย จึงโปรดฯ ให้แก้ไขเป็นหลัง คาจตุรมุขอย่างที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้

สิ่งต่าง ๆ ที่สร้างในวัดพระแก้ววังหน้านี้ สร้างโดยปราณีตบรรจงหลายอย่าง เช่น โปรดฯ ให้เสาะหาพระพุทธรูปที่เป็นของงามของแปลก เครื่องศิลาโบราณมาตกแต่ง พระเจดีย์ก็ถ่ายแบบอย่างพระเจดีย์สำคัญ ๆ เช่น พระธาตุพนม มาสร้างไว้หลายองค์ การสร้างวัดพระแก้ววังหน้ายังไม่ทันแล้วเสร็จกรมพระราชวังบวรศักดิ์พลเสพย์ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ พระชนม์มายุได้ ๔๗ พรรษา ทำให้วังหน้าว่างอยู่ถึง ๑๘ ปี

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์แล้ว โปรดฯ ให้ สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฟ้าจุฑามณีกรมขุนอิศเรสรังสรรค์ เป็นพระมหาอุปราช แต่มีพระเกียรติยศอย่างพระเจ้าแผ่นดิน มีพระนามในพระสุพรรณบัฏแบบเดิมว่า "พระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" พระราชทานนามอย่าง พระเจ้า แผ่นดินว่า "สมเด็จพระปวเรนทราเมศมหิเรสรังสรรค์พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว" พระบาท สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปประทับที่วังหน้า ซึ่งขณะนั้นกำลัง ปรักหักพัง ชำรุดทรุดโทรมมากเพราะว่างมา ๑๘ ปี ข้าราชการวังหน้าที่ตามเสด็จ แต่แรกเล่ากันว่า พระองค์ถึงกับทรงออกพระโอษฐ์ว่า

"เออ...อยู่ดี ๆ ให้มาเป็นสมภารวัดร้าง ๆ"

ดังนั้น วังหน้าจึงได้รับการทะนุบำรุงและสร้างปราสาทราชมณเฑียร ขึ้นใหม่หลายสิ่ง หลายอย่างในรัชกาลนี้โดยเฉพาะพระอุโบสถวัดพระแก้ววังหน้าหรือวัดบวรสถานสุทธาวาส ได้ทะนุบำรุงปฏิสังขรณ์และมีพระราชดำริจะอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ โปรดให้ก่อฐานชุกชีขึ้นกลางพระอุโบสถ และเขึยนภาพฝาผนัง เรื่องตำนานพระพุทธสิหิงค์ และเรื่องประวัติ พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์จนเสร็จ แต่ยังมิทันจะได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐาน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระพุทธสิหิงค์จึงคงประดิษฐาน อยู่ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์จนทุกวันนี้

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ โปรดฯ ให้กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ พระเจ้าลูกเธอพระองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า เป็นพระมหาอุปราชวังบวรสถานมงคล และประทับอยู่ที่วังหน้า ๑๗ ปี ก็เสด็จทิวงคตที่พระที่นั่งบวรปริรัติ เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๘

ขณะที่กรมพระราชวังวิไชยชาญประทับอยู่ที่วังหน้า เป็นเวลาที่พระราชมณเฑียรและสถานที่ต่าง ๆ ยังอยู่ในสภาพดี จึงมิได้สร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมากนัก เมื่อสิ้นกรมพระราชวังวิไชยชาญแล้ววังหน้าก็มิได้เป็นที่ประทับของพระมหาอุปราชอีกเลย เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเป็นมกุฏราชกุมาร อย่างหน่อพระพุทธเจ้าตามราชประเพณีเดิม ทรงเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราชฝ่ายหน้าตั้งแต่นั้นมา

ส่วนวังหน้าเมื่อมิได้ ใช้เป็นที่ประทับแล้วได้ทรงใช้เป็นที่ทำประโยชน์ต่าง ๆ เช่น โรงทหาร ม้ารักษาพระองค์บ้างเป็นพิพิธภุณฑสถานบ้าง ทั้งโปรดฯ ให้รื้อป้อมออกและแบ่งที่ พระราชวังบางส่วนเป็นท้องสนามหลวงสืบต่อมาจนทุกวันนี้

สำหรับวัดบวรสถานพุทธาวาส หรือวัดพระแก้ววังหน้านั้นเหลือเพียงพระอุโบสถซึ่งทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ในสมัยที่กระทรวงยุติธรรมตั้งอยู่ในบริเวณโรงละครแห่งชาติปัจจุบัน ได้ใช้พระอุโบสถเป็นที่เก็บสำนวนเรื่องราวฟ้องร้องต่าง ๆ จนกระทั่งย้ายออกไป

ต่อมาเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ พระอุโบสถได้รับความเสียหาย จากระเบิดที่ตกใน บริเวณใกล้เคียงชำรุดทรุดโทรมลงไปอีก จนเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๓ มีการสร้างโรงละครแห่งชาติขึ้น จึงได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระอุโบสถวัดพระแก้ววังหน้าขึ้นใหม่จนมี สภาพดีดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้

วัดพระแก้ววังหน้าที่เหลืออยู่ในปัจจุบันนี้มีเพียงพระอุโบสถจตุรมุขสูงใหญ่ตั้งสูงตะหง่านอยู่บนฐานซึ่งมีบันไดขึ้นที่งสี่ด้าน บริเวณฐานมีชานล้อมโดยรอบ ในด้านรูปทรงภายนอกแล้วต้องนับว่าพระอุโบสถหลังนี้มีความงามสง่าแปลกตาไม่น้อย และเป็นศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่สำคัญของวังหน้าที่ทรงสร้างขึ้น

นอกจากรูปทรงภายนอกแล้วภายในพระอุโบสถยังมีศิลปกรรมสำคัญ คือ พระประธานของพระอุโบสถซึ่งเป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางห้ามสมุทร พระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ ในรัชกาลที่ ๓ ทรงโปรดให้สร้างขึ้น สำหรับประดิษฐานในพระอุโบสถนี้ แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็ทรงพระประชวรหนัก เมื่อใกล้จะสวรรคตพระองค์ทรงจบพระหัตถ์ผ้าห่มพระประธาน พระองค์เจ้าดาราวดีไว้ทรงดำรัสสั่งไว้ว่า ต่อไปท่านผู้ใดเป็นใหญ่และได้ทรงบูรณะวัดแห่งนี้ ทูลขอให้ช่วยถวายผ้าผืนนี้ทรงพระให้ด้วย

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจบผ้าผืนนั้น ทรงพระพุทธรูปถวาย ดังพระราชอุทิศของกรมพระราชวังมหาศักดิพลเสพย์ ปัจจุบันนี้พระพุทธรูปองค์นี้ยังคงอยู่ในสภาพดี มีฐาน ชุกชีและบุษบกครอบ บุษบกนั้นคงเป็นฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ ๔

นอกเหนือไปจาก พระพุทธรูปภายในพระอุโบสถ คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง เรื่อง ตำนานพระพุทธสิหิงค์ และประวัติพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ซึ่งเป็นฝีมือช่างผสมกัน ระหว่างฝีมือช่างในสมัยรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔

นอกจากนี้ยังมีตำนานนิทานไทยโบราณ ประวัติพระคเณศ และ ช้างอุษฏทิศ ภาพจากวรรณคดี เรื่องอุณรุท รามเกียรติ์ นารายณ์สิบปาง ตลอดจนภาพเทพเจ้าและอมนุษย์ของอินเดีย ทั้งที่ปรากฏในมหาภารตคัมภีร์ และคัมภีร์ปุราณะต่าง ๆ นอกจากนี้ก็มีพระราชพิธี โบราณของไทย เช่น พระราชพิธีโสกันต์ และภาพการละเล่นต่าง ๆ ของไทย เช่น กระตั้วแทงควาย แทงวิไสย ไต่ลวด ญวนหก เป็นต้น

อย่างไรก็ตามภาพที่ปรากฏบนฝาผนังเป็นเป็นเรื่องราวต่างๆจำนวนมากนี้ คงเป็น ฝีมือช่างหลายคน เพราะผนังพระอุโบสถนี้กว้างใหญ่มาก มีพื้นที่สำหรับเขียนภาพได้ มากมาย จึงปรากฏเรื่องราวต่าง ๆ ในลักษณะหลายเรื่องหลายรสหลายฝีมือช่าง

มีทั้งฝีมือดีและด้อย คละเคล้ากันดังที่สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์นิพนธ์ไว้ว่า เป็นภาพจิตรกรรมฝาฝนังงามเยี่ยมแห่งหนึ่งเท่าที่เหลือในปัจจุบัน เจ้าฟ้าอิศราพงศ์ เป็นแม่กอง จัดช่างฝีมือเข้าเขียน มีฝีมือพระอาจารย์แดงวัดหงส์รัตนารามเขียนภาพชนช้าง ไว้ห้องหนึ่ง อีกห้องหนึ่งเป็นภาพฝีมือนายมั่น คือ ภาพการทิ้งทานลูกกัลปพฤกษ์ จะเห็นได้ว่าวัดพระแก้ววังหน้าหรือวัดบวรสถานสุทธาวาส เป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน เป็นวัดในพระราชวังหน้าของพระมหาอุปราชมาถึงห้ารัชกาล แม้ปัจจุบันจะ เหลือเพียงพระอุโบสถเท่านั้น แต่คุณค่าของศิลปกรรมนับได้ว่า มีค่าควรแก่การ ศึกษาหาความรู้อย่างยิ่ง

เมื่อเราไปนั่น พระอุโบสถวัดพระแก้ววังหน้าถูกปิดไว้ และไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ควรจะเป็น เพราะเราสามารถมองเห็นได้ถึง บรรดาอุปกรณ์เข้าฉากต่าง ๆ ที่ตั้งระเกะระกะ พาดและพิงอยู่กับพระอุโบสถเป็นจำนวนมาก เศษซากของต้นไม้ ดอกไม้ ที่แห้งกรังอยู่ตามพื้น หรือแม้กระทั้ง การชำรุดทรุดโทรมของพระอุโบสถเอง อันจะเห็นได้จากความชำรุดหักพังของลายปูนปั้น และการหลุดล่วงของกระจกประดับ

น่าเสียดาย หากโบราณสถานสำคัญของไทย โดยเฉพาะโบราณสถานสำคัญในยุคต้นรัตนโกสินทร์ จะถูกทิ้งร้าง หักพังอยู่กลางเมือง โดยไม่เห็นถึงความสำคัญเช่นนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เรืองราวของกรมพระราชวังหน้า และวัดพระแก้ววังหรือ หรือวัดบวรสถานสุทธาวาส จะยังคงอยู่ให้ลูกหลานได้ศึกษา ถึงความเป็นมาและรูปแบบสถาปัตย์กรรมตอนต้นกรุงรัตนโกสสินทร์ ได้อีกยาวนานและได้รับการทำนุบำรุงรักษาให้คงอยู่อีกนานตลอดไป ไม่กลายเป็นวัดร้างไร้นามกลางกรุงที่ถูกลืมไปเสียก่อน

ประวัติการสร้างพระสมเด็จวัดพระแก้ว 

ข้อมูลเรื่องพระสมเด็จวัดพระแก้วที่แยกแยะมาให้ศึกษานั้น ผมไม่อาจกล่าวอ้างจัดเป็นตำราได้ แต่สามารถจัดเป็นข้อเขียนที่ก่อให้เกิดเป็นองค์ความรู้ได้ จากการที่ได้ศึกษาและค้นคว้าจากเอกสารหลักฐานหลายแหล่งที่พอหาได้ รวมทั้งจากประสบการณ์ของท่านผู้รู้อันประกอบด้วย พระภิกษุ ครู อาจารย์ และบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพ สิ่งที่สำคัญคือการศึกษาจากพระสมเด็จสกุลนี้ที่ครอบครองอยู่ ขอให้ทุกท่านศึกษาอย่างตั้งใจ อันเนื่องด้วยพระสมเด็จสกุลนี้มีความสลับซับซ้อนมาก ถ้าไม่ตั้งใจ และไม่มีสมาธิจะเข้าใจได้ยาก ขอให้ทุกท่านที่มีความศรัทธาแด่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี และศรัทธาพระสมเด็จสกุลนี้ได้ช่วยกันค้นคว้าหาหลักฐานให้มากยิ่งขึ้นเพื่อเป็นการดำรงไว้แห่งโบราณวัตถุที่เป็นมงคล และทรงคุณค่ายิ่ง 
พระสมเด็จกรมท่า และพระสมเด็จวังหน้า การจัดสร้างและบรรจุกรุวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และบรรจุกรุวัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า ปัจจุบันตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป เป็นวัดที่ไม่มีการประกอบสังฆกรรมใด ๆ และถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีมงคลต่าง ๆ เช่น พิธีไหว้ครู และพิธีครอบครู เป็นต้น) การจัดสร้างพระสมเด็จสกุลนี้มีหลายครั้งแต่ละครั้งมีความแตกต่างทั้ง พุทธศิลป์ แบบพิมพ์ เนื้อมวลสาร ผู้สร้าง ผู้จัดสร้าง พระคณาจารย์ผู้พุทธาภิเษก ทั้งทันและไม่ทันสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ในเวลาต่อมาได้มีการนำพระสมเด็จสกุลนี้นำเข้าบรรจุกรุเดียวกัน คือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) รวมทั้งยังมีพระสมเด็จวัดระฆังจำนวนหนึ่งร่วมลงในกรุนี้ด้วย นอกจากนั้นในยุคหลัง ๆ ก็ยังมีการจัดสร้างพระเนื้อผง พระเนื้อดินเผา พระเนื้อโลหะในแบบต่าง ๆ บรรจุกรุในวัดพระศรีรัตนศาสดารามอีกหลายครั้ง เพื่อความเข้าใจในการศึกษาจึงจะขอเรียกชื่อพระสมเด็จสกุลนี้ว่า “พระสมเด็จวัดพระแก้ว” ตามสถานที่บรรจุ และค้นพบเป็นสำคัญ 

พระสมเด็จกรุวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และกรุวัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) แบ่งการสร้างออกเป็น ๓ ช่วง ดังนี้ 

๑. สร้างในปี พ.ศ. ๒๔๐๘ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) เจ้าคุณกรมท่าในสมัยรัชกาลที่ ๔ สร้างพระสมเด็จ (พระสมเด็จกรมท่า) ฝีพระหัตถ์การแกะพิมพ์เป็นบางส่วน โดยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ส่วนใหญ่ใช้แม่พิมพ์เดิมของพระสมเด็จวัดระฆังเท่าที่พบเป็นพิมพ์ประธาน หรือพิมพ์ใหญ่ และปรกโพธิ์ ลักษณะเป็นพิมพ์ชิ้นเดียวตัดกรอบสี่ด้าน ปาดหลังด้วยวัสดุบางและมีคม ใช้ผงวิเศษของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ส่วนใหญ่เป็นลักษณะเนื้อมวลสาร เนื้อมวลสารกังไส และเนื้อมวลสารปูนสอ คล้ายพระสมเด็จวัดระฆัง แต่มีลักษณะที่แตกต่างจากการสร้างพระสมเด็จวัดพระแก้วใน ปี พ.ศ. ๒๔๑๑ และปี พ.ศ. ๒๔๒๕ หลายประการทั้งพุทธลักษณะ พิมพ์แม่แบบ และเนื้อมวลสาร ในเรื่องของวรรณเป็นวรรณขาวตั้งต้น เช่น ขาวนวลคล้ายมุก ขาวขุ่น ขาวใส ขาวอมชมพู ขาวอมเขียว ขาวอมฟ้า ขาวอมเหลืองอ่อน ขาวอมเทา ขาวอมน้ำตาล เป็นต้น มีผงทองนพคุณ ผงแร่รัตนชาติ ผงแร่เหล็กไหลเล็กน้อยเป็นบางองค์ ไม่ปรากฏวรรณเบญจสิริ สีสิริมงคลและสีประจำวัน ไม่ลงรัก และไม่ปิดทอง ด้านหลังขององค์พระบางส่วนโดยเฉพาะพิมพ์คะแนนจะปรากฏรูปสมอเรือ มีทั้งการแตกลายงา และไม่แตกลายงา พบการแตกลายงาเป็นส่วนใหญ่ในสองลักษณะคือ การแตกลายงาแบบสังคโลก และการแตกลายงาแบบไข่นกปรอท การพุทธาภิเษก สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี พุทธาภิเษก พระเทพโลกอุดรเป็นองค์ประธานในการพุทธาภิเษก 
โดยอทิสสมานกาย (อทิสสมานกาย คือกายที่มองไม่เห็นถ้าไม่แสดงอภินิหาร) ณ วัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) ในคราวนั้นได้มอบให้แก่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชสำนักในพระบรมมหาราชวัง และประชาชนโดยทั่วไปเป็นบางส่วน ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการบรรจุกรุ ณ ที่ใด 

๒. สร้างในปี พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๑๒ เพื่อเป็นสิริมหามงคลเนื่องในการเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) และกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสถานมงคล (วังหน้า) ร่วมกันสร้างพระสมเด็จ (พระสมเด็จกรมท่าและพระสมเด็จวังหน้า) ใช้แม่พิมพ์ของพระสมเด็จวัดระฆัง และแกะพิมพ์ขึ้นมาใหม่บางส่วนให้เหมือนกับพิมพ์ของพระสมเด็จวัดระฆัง วัดไชโย เช่น พิมพ์ใหญ่ พิมพ์ทรงเจดี พิมพ์เกศบัวตูม พิมพ์ฐานแซม พิมพ์ปรกโพธิ์ พิมพ์ฐานเจ็ดชั้น พิมพ์ฐานเก้าชั้น นอกจากนั้นยังพบพิมพ์ที่แกะขึ้นใหม่อีกหลายพิมพ์เป็นพิมพ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ได้แก่ พิมพ์ฐานคู่ และพิมพ์อกครุฑเศียรบาตร และทรงพิมพ์อื่น ๆ ที่มีความหมายในทางพุทธศาสนา เช่น พิมพ์ชฎาหรหม พิมพ์ฉัตรสามชั้น พิมพ์ทรงครุฑ พิมพ์ทรงคชสาร เป็นต้น ที่สำคัญได้พบพิมพ์พระประธานเป็นครั้งแรก (พิมพ์พระประธาน คือการจำลองแบบพระประธานในพระอุโบสถ มีพุทธลักษณะ ดังนี้ ปางสมาธิ พระพักตร์กลมใหญ่ พระเกศปลีเรียวยาวจรดซุ้ม มีพระเนตร พระกรรณ พระนาสิก และพระโอษฐ์ ปรากฏเด่นชัด สังฆาฏิพาดคลุมจากพระอังสาจรดพระนาภี ขัดสมาธิกว้างโค้งเล็กน้อยบนนิสีทนสันถัต ฐานสามชั้นสมส่วนสวยงาม) ฝีพระหัตถ์และฝีมือการแกะพิมพ์ โดยพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าประดิษฐวรการ เจ้ากรมช่างสิบหมู่ และช่างสิบหมู่แห่งพระราชวังหน้าในรัชกาลที่ ๕ แม่พิมพ์เป็นลักษณะถอดยกแบบสองชิ้นประกบกันเป็นพิมพ์ที่ได้มีการพัฒนารูปแบบใหม่มีความละเอียดในสาระ สมส่วนสง่างาม ไม่ตัดกรอบ และไม่ปาดหลัง จึงมีความงดงามมากจัดเป็นประณีตศิลป์ พบมีการแต่งขอบเล็กน้อยหลังถอดพิมพ์ ใช้ผงวิเศษของพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เนื้อมวลสารส่วนใหญ่เป็นลักษณะเนื้อมวลสารคล้ายพระสมเด็จวัดระฆัง และเนื้อมวลสารกังไส หรืออาจเรียกว่าเนื้อน้ำมัน มีความละเอียดเนื่องจากใช้เครื่องบดแทนการโขลกหรือตำ จึงมีความละเอียดมากกว่าพระในสกุลสมเด็จใด ๆ สูตรการทำมีการพัฒนาไปมากจึงทำให้มีการยึดเกาะตัวของมวลสารสูง หนึกนุ่ม มันวาว แข็งแกร่ง มีน้ำหนัก มีทั้งการแตกลายงา และไม่แตกลายงา พบส่วนที่แตกลายงาเป็นส่วนใหญ่ในสองลักษณะคือ การแตกลายงาแบบสังคโลก และการแตกลายงาแบบไข่นกปรอท วรรณเป็นสีขาว สีเหลืองหรดาล สีน้ำตาล สีดำ สีดำผงใบลาน เบญจสิริ และสีสิริมงคล (เบญจสิริ และสีสิริมงคล สีที่พบได้แก่ สีแดง สีเหลือง สีชมพู สีเขียว สีส้ม สีฟ้า สีม่วง สีขาว สีดำ) ที่สำคัญใช้แร่มวลสารที่เป็นมงคลในตัวเอง และหายากเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ผงทองนพคุณ ผงแร่รัตนชาติ (ผงแร่รัตนชาติ พบทั้งหมด ๑๒ สี คือ ม่วง คราม น้ำเงิน ฟ้า เขียว เหลือง น้ำตาล ส้ม แดง ชมพู ดำ และขาว) ผงแร่เหล็กไหล นอกจากนั้นยังพบหินอ่อนย่อยละเอียด (หินอ่อนจากศิลาจารึกพระคาถาพญาธรรมิกราชที่ค้นพบอยู่ในสระน้ำวัดระฆังโฆสิตาราม วัดอินทรวิหาร และวัดหงส์รัตนาราม) มีการลงรักสมุกสีดำ รักสมุกสีน้ำเงิน รักสมุกสีเหลือง และลงชาดสีแดง เป็นการลงสองชั้นบาง ๆ คือลงชาดหนึ่ง และลงรักหนึ่ง แต่ไม่พบการปิดทอง ด้านหลังของพระจะปรากฏพระราชลัญจกรและสัญลักษณ์ต่าง ๆ แต่พบเป็นส่วนน้อย เช่น ครุฑ จักร ชฎา ช้าง เป็นต้น การพุทธาภิเษกจัดเป็นพระราชพิธีหลวงตามโบราณราชประเพณี สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เป็นองค์ประธานในการพุทธาภิเษก คณะสงฆ์ประกอบด้วยหลวงพ่อทัด (สมเด็จพระพุฒาจารย์) หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงปู่คำ วัดอัมรินทร์ หลวงปู่จาด วัดภาณุรังสี และพระเกจิอาจารย์ที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบในยุคนั้นอีกหลายรูปร่วมพิธีพุทธาภิเษก ณ วัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) ในคราวนั้นได้ถวายแด่พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และมอบให้แก่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และข้าราชบริภารในพระบรมหาราชวังเป็นสำคัญ ที่เหลือบรรจุในสุวรรณเจดีย์ เจดีย์ย่อไม้สิบสอง ฐานชุกชีหลังครุฑวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้บนเพดานพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนาต่อไปในภายภาคหน้า 

๓. สร้างในปี พ.ศ. ๒๔๒๕ เพื่อเป็นสิริมหามงคลการฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) และกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสถานมงคล (วังหน้า) ร่วมกันสร้างพระสมเด็จ (พระสมเด็จกรมท่า และพระสมเด็จวังหน้า) ใช้แม่พิมพ์ของพระสมเด็จวัดระฆังที่พัฒนาแล้วจาก ปี พ.ศ. ๒๔๑๑ และแกะพิมพ์ขึ้นมาใหม่บางส่วนมีเอกลักษณ์เฉพาะนอกจากนั้นยังพบพิมพ์ที่แกะขึ้นอีกมากมายหลายร้อยพิมพ์เป็นพิมพ์ที่มีความหมายในทางพุทธศาสนา ฝีมือการแกะพิมพ์สกุลช่างสิบหมู่แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แม่พิมพ์เป็นลักษณะถอดยกแบบสองชิ้นประกบกันเป็นพิมพ์ที่ได้มีการพัฒนารูปแบบใหม่มีความละเอียดในสาระ สมส่วนสง่างาม ไม่ตัดกรอบ และไม่ปาดหลัง จึงมีความงดงามมาก จัดเป็นประณีตศิลป์ พบมีการแต่งขอบเล็กน้อยหลังถอดพิมพ์ เนื้อมวลสารส่วนใหญ่เป็นลักษณะคล้ายกันกับการสร้างพระสมเด็จสกุลนี้ เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๑๑ คือเนื้อมวลสารกังไส มีความละเอียดเนื่องจากใช้เครื่องบดแทนการโขลกหรือตำ สูตรการทำมีการพัฒนาไปมากจึงทำให้มีการยึดเกาะตัวของมวลสารสูง หนึกนุ่ม มันวาว แข็งแกร่ง มีน้ำหนัก มีทั้งการแตกลายงา และไม่แตกลายงา พบส่วนที่แตกลายงาเป็นส่วนใหญ่ในสองลักษณะคือ การแตกลายงาแบบสังคโลก และการแตกลายงาแบบไข่นกปรอท วรรณเป็นสีขาว สีเหลืองหรดาล น้ำตาล สีดำ สีดำผงใบลาน เบญจสิริ สีสิริมงคลและสีประจำวัน (สำหรับวรรณเบญจสิริ สีสิริมงคลและสีประจำวันนั้นพบจำนวนค่อนข้างมากแต่มีลักษณะแตกต่างจากการสร้าง ใ&
 
เป็นที่ยอมรับนับถือในผู้ศึกษา สะสมพระพิมพ์สายพระราชวัง(หลวง , หน้า , หลัง) ทั้งหลายว่า TOP4 เป็นพระพิมพ์ ที่มีพลานุภาพ สูงที่สุด การได้มีโอกาสครอบครอง หรือแม้แต่ได้รับข้อมูลอันถูกต้อง ไม่เอนเอียงไปในทางมิชอบทั้งหลาย ก็นับว่าเป็นบุญกุศลต่อ พระพิมพ์ที่สำคัญ ๆ ครับ ที่
1. สูงทั้งผู้ที่ทรงให้สร้าง (พระมหากษัตรย์)
2. สูงทั้งรูปเหมือนในการสร้าง (รูปพระพุทธเจ้า)
3. สูงทั้งผู้ทรงอธิฐานจิต (เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ โต)
4. สูงทั้งเนื้อหา มวนสาร (ผงพระสมเด็จและพระธาตุ)
5. สูงทั้งคณะผู้ออกแบบและสร้าง (เจ้ากรมช่างสิบหมู่ ช่างหลวง)
6. สูงทั้งเจตนาในการสร้าง (เพื่อชาติ , ศาสนา , พระมหากษัตริย์)
7. สูงทั้งวาระ สถานที่ในการสร้าง (/เสก/ฤกษ์/พิธีหลวง/ในพระราชวังและวัดพระแก้ว) ขอโมทนาสาธุกับท่านที่ได้ครอบครองครับ
มิอาจที่จะประเมิณมูลค่าได้ครับ

ความจริงก็คือ ความจริงครับไม่มีผู้ไดเอามือไปปิดบังฟ้าได้ ครับhttps://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q&esrc=s&source=web&cd=9&cad=rja&uact=8&ved=0CDUQFjAI&url=http%3A%2F%2Fkrua5to.blogspot.com%2F2012%2F01%2Fblog-post.html&ei=4GLpVLmnNMmWuASn1IDwAQ&usg=AFQjCNGKHLxuR1Lk6WK-JWaOPHjCULgxtw

โดย Putanarinton - เมื่อ 23 ตุลาคม 2557
  ชอบ 1  /  เข้าชม 1561724  /  ความคิดเห็น 1
ดูข้อมูลต่อ

 แสดงความคิดเห็น


(รองรับไฟล์รูปภาพนามสกุล .jpg, .png, .gif)